วันหยุดชวนเที่ยว วันเดียวที่วัดระฆัง เมื่อกล่าวถึงวัดระฆังหลายคนก็คงจะเคยได้ยินชื่อเสียงกันมาบ้างแล้วแต่น้อยคนนักที่จะรู้จักวัดระฆังอย่างแท้จริง เพราะถ้าหากเปรียบเทียบกับวัดชื่อดังอื่นๆ อีกหลายวัดที่ตั้งอยู่ในละแวกใกล้เคียงกันอย่างเช่น วัดอรุณราชวราราม หรือ วัดโพธิ์ ที่รู้จักกันในชื่อวัดเชตุพนวิมลมังคลาราม แล้วนั้น วัดระฆังก็เป็นเพียงวัดเดียวที่มองเผินๆ แล้วไม่มีอะไรโดดเด่นสักเท่าใดนัก ซึ่งใครที่คิดอย่างนั้นก็แสดงว่ายังไม่เคยมาแวะไหว้พระที่นี่แน่นอน



วัดระฆังโฆสิตาราม ตั้งอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นอีกหนึ่งวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นเมื่อสมัยอยุธยามีชื่อเดิมว่าวัดบางหว้าใหญ่ สาเหตุที่ต้องเปลี่ยนเป็นชื่อมาเป็นวัดระฆังก็สืบเนื่องมาจากในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้มีการขุดพบระฆังที่มีเสียงไพเราะมาก ทรงขอนำดังกล่าวไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามและมีรับสั่งให้สร้างหอระฆังพร้อมทั้งพระราชทานระฆัง 5 ลูกมาแทน หลังจากนั้นประชาชนจึงได้เรียกชื่อวัดแห่งนี้ว่า วัดระฆัง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เมื่อเดินเข้ามาในวัดระฆังก็จะสังเกตุได้ว่าที่ด้านข้างของโบสถ์จะมีระฆังน้อยใหญ่แขวนเรียงกันอยู่มากมายซึ่งเป็นระฆังที่ชาวบ้านและผู้ที่แวะเวียนมาทำบุญที่วัดแห่งนี้นำมาถวาย เมื่อยามที่ลมพัดผ่านเราจึงได้ยินเสียงระฆังดังก้องไปทั่วบริเวณ

ระฆังภายในวัด

เนื่องจากภายในบริเวณวัดระฆังมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย ดังนั้นใครที่มาครั้งแรกก็คงจะยังจับทิศทางไม่ถูกว่าควรจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี เพราะนอกจากการสักการะรูปหล่อของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ซึ่งเป็นสมเด็จพระราชาคณะที่มีชื่อเสียงของวัดระฆังแห่งนี้แล้วก็ยังมีทั้งปูชนียวัตถุและปูชนียสถานที่มีความสำคัญและงดงามอีกมากมาย อันดับแรกเราก็ควรจะต้องเข้าไปกราบไหว้พระประธานที่อุโบสถกันก่อน เมื่อก้าวเข้ามาในอุโบสถก็จะพบกับพระประธานยิ้มรับฟ้า ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางสมาธิเนื้อทองสำริดที่ได้รับการยกย่องว่างดงามมากที่สุดองค์หนึ่งเลยทีเดียว

พระประธานในพระอุโบสถ

อีกทั้งภายในโบสถ์ยังถูกตกแต่งด้วยภาพวาดของจิตรกรเอกในสมัยรัชกาลที่ 6 ซึ่งมีความสวยงามไม่แพ้ที่ใด

ภาพจิตรกรรมฝาผนังในพระอุโบสถของวัดระฆัง

หลังจากออกมาจากอุโบสถแล้วทางด้านหน้าก็จะเห็นวิหารสองหลังตั้งอยู่ หลังหนึ่งเป็นวิหารสมเด็จพระสังฆราช (สี) และอีกหลังหนึ่งเป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) และสมเด็จพระราคาคณะของวัดนี้อีก 2 องค์ ซึ่งเป็นที่เคารพบูชาของพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างมาก โดยจะใช้ธูป 3 ดอก เทียนคู่ รวมไปถึงดอกไม้ มาลัยและหมากพลูเป็นเครื่องสักการะ หลังจากนั้นให้ปิดทองที่รูปหล่อทั้งสามองค์ก็เป็นอันเสร็จ

นอกจากนี้ที่วัดระฆังยังเป็นที่ตั้งของพระปรางค์องค์ใหญ่ที่ทำถูกแบบที่สุดในประเทศไทยซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมในยุคต้นสมัยรัตนโกสินทร์ อีกทั้งยังมีพระเจดีย์ 3 องค์ ตำหนักแดง หอพระไตรปิฎก และหอพระไตรปิฎกหลังเล็กให้เดินชมกันอีกด้วย

จะเห็นได้ว่า วัดระฆังโฆสิตารามแห่งนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวัดริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีความน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว โดยมีคติของวัดที่กล่าวไว้ว่า “ไหว้พระวัดระฆัง มีคนนิยมชมชื่น มีชื่อเสียงโด่งดังตลอดปี” ในวันหยุดสุดสัปดาห์ใครที่อยากจะแวะเวียนมาไหว้พระที่วัดระฆังก็สามารถเดินทางมาได้ไม่ยากเลย โดยจะมีรถประจำทางที่ผ่านก็คือสาย 19, 57, 83 หรือจะมาทางเรือก็สะดวกไม่แพ้กันเพียงแค่ลงเรือข้ามฝากจากท่าช้างไปท่าวัดระฆัง ถ้าใช้บริการเรือด่วนเจ้าพระยาให้ลงที่ท่ารถไฟหรือท่าวังหลังก็ได้เช่นเดียวกัน